วิธีทำขนมข้าวต้มหัวหงอก ขนมไทยอร่อยแบบบ้าน ๆ ทำง่าย ลงทุนน้อย ทำขายกำไรงาม
Advertisements
วิธีทำขนมข้าวต้มหัวหงอก ขนมไทยอร่อยแบบบ้าน ๆ ทำง่าย ลงทุนน้อย ทำขายกำไรงาม
วันนี้เราจะพาทุกท่านไปดูวิธีการทำขนมไทยอร่อยแบบบ้าน ๆ กับเมนู “ข้าวต้มหัวหงอก” ซึ่งสมัยเป็นเด็กเวลามีงานบุญงานมงคลต่างๆ เป็นต้องมีขนมไทยเมนูนี้ทุกงานขาดไม่ได้จริงๆ แต่ปัจจุบันหาทานได้ยากพอสมควร
สำหรับสูตรการทำก็ง่ายมากเลยค่ะ วันนี้จะอธิบายละเอียดแบบจับมือทำเลยล่ะ แถมด้วยเคล็ดลับความอร่อยที่หลายคนยังไม่รู้ ไปค่ะ..ไปดูวิธีการทำขนม “ข้าวต้มหัวหงอก” สูตรอร่อยดั้งเดิมแบบไทยๆ พร้อมๆ กันเลยค่ะ
ส่วนผสม
1. ข้าวสารเหนียว 5 ถ้วย (แนะนำให้ใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู)
2. กล้วยน้ำว้าสุก 10 ลูก
3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
4. มะพร้าวขูด 1 ถ้วย
5. เกลือป่น 1 ช้อนชา
6. น้ำใบเตย 1 ถ้วย
7. งา 1 ช้อนชา
8. ถั่วดำ 50 กรัม
8. ใบตองและตอกสำหรับมัด
วิธีการทำ
1. แช่ข้าวสารเหนียวในน้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง ล้างให้สะอาด
2. ใส่น้ำคั้นใบเตย และเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้ประมาณ 10 นาที ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
3. นำใบตองกว้างประมาณ 10 นิ้ว ซ้อนไขว้กัน 2 ชั้น ใส่ข้าวเหนียว 1 กำมือ วางกล้วยน้ำว้าตรงกลาง แล้วใส่ข้าวอีก 1 กำมือ ตามด้วยถั่วดำ 3-5 เมล็ด(ถ้าชอบ)
4. ห่อใบตองให้แน่น พับหัวและพับท้าย มัดด้วยตอกให้แน่น
5. นำไปต้มในน้ำเดือด ประมาณ 1 ชั่วโมง
6. เมื่อต้มสุกแล้ว ตักอออกพักไว้ให้เย็น แกะห่อออก หั่นตามขวางเป็นชิ้นๆ ขนาดพอดีคำ
7. คลุกกับมะพร้าวขูด โรยด้วยน้ำตาลทรายและงา หรือแยกใส่มุมจานไว้จิ้มก็ได้
เคล็ดลับในการทำ
– คลุกน้ำคั้นใบเตยกับข้าว เพื่อให้มีกลิ่นหอมและสีสวยน่ารับประทาน แต่ถ้าชอบแบบบ้านๆ ก็ไม่ต้องคั้นน้ำใบเตยค่ะ
– การห่อข้าวต้มต้องห่อใบตองให้แน่น และมัดตอกให้แน่น จะทำให้ข้าวต้มเหนียวไม่ร่วนเละ รสชาติอร่อยเวลาทาน
– ควรเลือกกล้วยน้ำว้าที่สุกงอมพอดี จะทำให้ข้าวต้มหัวหงอกมีรสชาติหวานอร่อย ไม่มีรสฝาดหรือเปรี้ยว
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเมนูขนมไทยอร่อยแบบบ้านๆ ที่นิยมมาแต่โบราณ ลองเอาไปทำทานเองดูนะ ทำง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน ส่วนผสมก็ไม่ซับซ้อน สามารถทำได้ทุกคน
หรือถ้าท่านใดสนใจนำไปทำขายหารายได้เสริมเป็นอาชีพก็นับว่าน่าสนใจจริงๆ ลงทุนน้อยขายได้กำไรดีชัวร์จ้า ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์อย่าลืมส่งต่อเรื่องราว เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก.ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เรียบเรียงโดย.ที่นี่มีสาระ
ที่มา...https://babban.club/9262/
Advertisements
Post a Comment